06.00น. : พร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออกชั้น 4 เคาน์เตอร์ สายการบิน OMAN AIR โดยมี เจ้าหน้าที่บริษัทฯคอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกด้านเอกสาร ติดแท็กกระเป๋า
09.15 น. : นำท่านเดินทางสู่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยสายการบิน OMAN AIR (WY) เที่ยวบินที่ WY818
12.35 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต ประเทศโอมาน แวะพักเปลี่ยนเครื่อง
14.55 น. : นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติซูริค โดยสายการบิน OMAN AIR (WY) เที่ยวบินที่ WY153
19.05 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร นำท่านผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและพิธีการทางศุลกากร (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง) จากนั้นนำท่านเดินทางเช็คอินเข้าที่พักและให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
เย็น : รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่1)
เช้า : รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม (มื้อที่2)
นำท่านเดินทางสู่ กรุงเบิร์น (Bern) (ระยะทาง 170 ก.ม. / 2.30 ชม.) นครหลวงอันงามสง่าของประเทศ และเป็นเมืองมรดกโลกอันล้ำค่าที่ได้รับการอนุรักษ์มาสู่ปัจจุบันเบิร์น ถูกสร้างขึ้นในยุคกลางของยุโรปองค์การยูเนสโก้ประกาศให้ส่วนหนึ่งของเบิร์นเป็นเมืองมรดก พาทุกท่านเยี่ยมชม บ่อหมีสีน้ำตาล (Bear Pit) เมื่อมาถึงเมืองนี้ก็ต้องแวะเข้ามาชมเจ้าหมีก่อน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบิร์นที่ว่าสัญลักษณ์ของกรุงเบิร์น เพราะว่ามีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยผู้ครองเบิร์นในยุคนั้นได้ออกล่าสัตว์ สัตว์ตัวแรกที่ล่าได้ คือ หมี นาฬิกา ไซ้ท์ กล็อคเค่ (ZYTGLOGGE) หอนาฬิกายุคกลางที่มีชื่อเสียงที่สุดของย่านเมืองเก่าเบิร์น ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 อายุ 800 ปี มีโชว์ให้ดูทุกๆชั่วโมงที่นาฬิกาตีบอกเวลา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงเบิร์น
เที่ยง : รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่3)
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองโลซานน์ (Lausanne) (ระยะทาง 109 ก.ม. / 1.30 ชม.) เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวาทางด้านเหนือ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีภูเขาโอบล้อม พร้อมทั้งทะเลสาบกว้างใหญ่ บ้านเรือนเต็มไปด้วยตึกและอาคารรูปทรงคลาสสิก จากนั้นอิสระให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ สวนเดอน็องตู (Le Denantou) เป็น สวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยบริเวณหัวมุมของสวน จะมีบันไดเล็ก และเดินเลยขึ้นไปอีกนิดหน่อยสวนสาธารณะที่มี รูปปั้นลิง 3 ตัว ปิดหู ปิดปาก ปิดตา (Three monkey monuments) อันเป็นสถานที่ทรงโปรดของในหลวงเมื่อทรงพระเยาว์ และ ถ่ายรูปกับ ศาลาไทย (Pavillon Thaïlandais) ที่รัฐบาลไทยส่งไปตั้งในสวนสาธารณะของเมืองโลซานน์
ถ่ายภาพด้านนอกที่ Olympic museum พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโอลิมปิค ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเจนีวา รอบๆพิพิธภัณฑ์ยังมีสิ่งบอกเล่าเรื่องราวมากมาย เช่น ลู่วิ่ง หรือรันเวย์รั้วไม้อีกด้วย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองเจนีวา (Geneva) (ระยะทาง 66 ก.ม. / 1 ชม.) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และ การทูตตั้งอยู่มากที่สุดในโลก เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ (รองจากเมืองซูริค) พาท่านถ่ายรูปเช็คอิน นาฬิกาดอกไม้ (Flower Clock)จุดถ่ายรูปสำคัญตั้งอยู่ด้านหนึ่งของสวน Jardin Anglais ที่ติดกับถนน มองข้ามไปจะเห็น ร้านสินค้าแบรนด์เนมมากมาย ดอกไม้จะถูกจัดเรียงให้มีสีสัน
จากนั้นแวะถ่ายภาพกับ น้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet d-Eau) ที่มีน้ำพุพุ่งสูงถึง 400 ฟุตเหนือทะเลสาบเจนีวา นอกจากเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังมีพื้นที่เขตเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ และอีกหนึ่งแลนด์มาร์คชื่อดัง เก้าอี้สามขา (The broken chair) ถูกสร้างขึ้นในปี 1997 โดยตั้งอยู่ที่ จัตุรัส Place des Nations เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในเจนีวา ภายรอบบริเวณที่แห่งนี้มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่มากมาย มีบริเวณให้ทุกท่านได้แวะถ่ายภาพและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย โดยตัวเก้าอี้ตั้งประชันหน้าประตูทางเข้าสำนักงานสหประชาชาติ สร้างขึ้นหลังจากการประชุมนานาชาติที่ประเทศแคนาดา ความหมายของมันก็เพื่อเป็นการต่อต้านสงครามและเก้าอี้สามขาก็เปรียบเสมือนผู้เคราะห์ร้ายจากสงครามนั่นเอง
เย็น : รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่4)
เช้า : รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม (มื้อที่5)
นำทุกท่านเดินทางสู่ เมืองทาซ (Tasch) (ระยะทาง 230 ก.ม. / 3.30 ชม.) นำท่านเดินทางสู่ หมู่บ้านเซอร์แมท Zermatt ด้วย Shuttle Train จากสถานีรถไฟทาซสู่สถานีรถไฟเซอร์แมท (ราคาทัวร์รวมค่าโดยสารสำหรับการเดินทางสู่เซอร์แมทแล้ว) ให้ท่านเดินเที่ยวชมหมู่บ้านเซอร์แมทที่มีบรรยากาศสบายๆล้อมด้วยเขาสูงสวยงาม เป็นเมืองที่ปลอดมลพิษทางอากาศเพราะยานพาหนะในเมืองไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แต่ใช้แบตเตอรี่เท่านั้น เซอร์แมทเป็นเมืองที่มีประชากรน้อยมาก และอาชีพหลักของคนพื้นเมือง คือพนักงานโรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งรายได้หลักของเมืองนี้มาจากการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในวันที่อากาศเอื้ออำนวย จากเมืองด้านล่างนี้ถ้าสภาพอากาศดีและสดใด จะสามารถมองเห็น ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสวยที่สุดในสวิส ที่ความสูง 3,833 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งความสูงของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น สูงเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ และมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแมทเทอร์ฮอร์น แบบสามเหลี่ยมคล้ายปิรามิดที่จุดสูงสุดบนยอด และมีความโดดเด่นไปอีกเมื่อเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ได้เป็นโลโก้ของช็อคโกแล็ตดังทับเบอร์โรน
เที่ยง : รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่6)
แวะเช็คอิน สะพาน Kirchbrücke จะเป็นบริเวณที่มีแม่น้ำ Vispa ไหลผ่าน สีของแม่น้ำนี้จะมีสีเป็นสีเทาๆ เพราะเกิดจากการละลายของทานน้ำแข็ง จากตรงสะพานสามารถมองเห็นยอดเขา Matterhorn ได้อีกด้วย ให้เวลาท่านอิสระเลือกเดินชมบรรยากาศความสวยงามของหมู่บ้านเซอร์แมทตามอัธยาศัย หรือ Optional tour!! นั่งรถไฟสาย Gornergrat bahn หรือที่รู้จักกันในชื่อ รถไฟไต่เขา ขึ้นสู่ยอดเขากอร์นเนอร์แกรต (Gornergrat) เพื่อชมความสวยงามของยอดเขา Matterhorn โดย สถานีรถไฟตั้งอยู่ในเมือง Zermatt รถไฟขึ้นเขา Gornergrat เส้นทางนี้ใช้เวลา 33 นาทีจาก Zermatt ไปยัง Gornergrat รถไฟเริ่มปีนขึ้นไปในระดับความสูงมากกว่า 1,500 เมตรถึง 3,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่านสามารถแวะลงที่สถานีกลาง Findelbach, Riffelalp, Riffelberg และ Rotenboden ในแต่ละสถานีจะมีไฮไลท์ของธรรมชาติพร้อมวิวของ Matterhorn สถานีส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี อิสระตามอัธยาศัยจนถึงเวลานัดหมาย (ค่านั่งรถไฟสาย Gornergrat bahn ไม่รวมในค่าทัวร์ ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 7-14วันก่อนเดินทาง )
เย็น : รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่7)
เช้า : รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม (มื้อที่8)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองมองเทรอซ์ (Montreux) (ระยะทาง 158 ก.ม./ 2.30 ชม.) เป็นเมืองเล็กๆน่ารักริมทะเลสาบเจนีวา ที่ล้อมรอบด้วยไร่ไวน์และมีแบล็คกราวด์เป็นเทือกเขาแอลป์ ถ่ายภาพด้านหน้า ปราสาทซิลยอง (Chillon castle) ปราสาทสไตล์กอทิกแห่งมองเทรอซ์ เป็นปราสาทแห่งตระกูลซาวอย อายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี เป็นปราสาทแห่งความภูมิใจของชาวสวิส จากนั้นพาท่านเช็คอิน รูปปั้นเฟรดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury Status) เขาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ชาวบริติช เป็นที่รู้จักดีในฐานะนักร้องนำวงควีน วงร็อกที่มีชื่อเสียงมาก ๆ บุคคลโด่งดังไปทั่วทะเลสาบเจนีวา ให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัยที่ Uferpromenade von Montreux ชมวิวทะเลสาบและเดินเล่นตามทางเดินเรียบทะเลสาบอันสวยงาม
เที่ยง : รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่9)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเวเว่ย์ (Vevey) (ระยะทาง 26 ก.ม./ 30 นาที) เมืองที่แสนโรแมนติกและน่ารัก ตั้งอยู่ในรัฐโวของสวิตเซอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวต่างก็ขนานนามเวเว่ย์ให้เป็นไข่มุกแห่งริเวียร่าสวิส Pearls of the Swiss Riviera แวะถ่ายรูปกับจุดไฮไลท์ของเมือง เริ่มต้นที่ ส้อมยักษ์ (The Fork) ส้อมยักษ์นี้เป็นผลงานของศิลปินสวิส Jean-Pierre Zaugg สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพิพิธภัณฑ์ Alimentarium ครั้งแรกที่ส้อมยักษ์ได้ปักลงในทะเลสาบคือปี 1995 แต่อยู่ได้เพียงปีเดียว ส้อมยักษ์ถูกย้ายไปอยู่ในสวนเมืองลูเซิร์นมากกว่าสิบปี ก่อนที่ชาวเมือง เวเว่ย์จะยื่นเรื่องเพื่อทวงคืนส้อมนี้สำเร็จ ในที่สุดส้อมยักษ์จึงได้กลับมาปักกลางทะเลสาบอีกครั้งในปี 2008 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเคียงคู่กับ รูปปั้นชาลีแชปปลิ้น (Charlie Chaplin) ศิลปินชาวอังกฤษที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงในอเมริกาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากและเขาเลือกเวเว่ย์เป็นสถานที่พักกายใจในบั้นปลายของชีวิต
จากนั้นนำทุกท่านเดินทางสู่ เมืองอินเตอร์ลาเคน (Interlaken) (ระยะทาง 145 ก.ม. / 2.30 ชม.) เมืองตากอากาศเล็กๆที่สวยเหมือนในฝัน เป็นเมืองแห่งสองทะเลสาบ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ ทูน Thun และทะเลสาบเบรียนซ์ Bienz ล้อมรอบด้วยภูเขามีทิวทัศน์บริสุทธิ์และสวยงามมาก แวะให้ท่านถ่ายภาพกับ ทะเลสาบทูน (Lake Thun) เป็นทะเลสาบบริเวณเทือกเขาแอลป์ ในอดีตทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบผืนเดียวกับทะเลสาบเบรียนซ์ เคยมีชื่อว่า ทะเลสาบเว็นเดิล (Wendelsee) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทะเลสาบเวนเดิลก็แยกออกเป็นสองทะเลสาบ คือทะเลสาบทูน กับทะเลสาบเบรียนซ์ โดยมีแม่น้ำอาเรเป็นแม่น้ำที่คอยเชื่อมทะเลสาบทั้งสองแทน โดยที่แม่น้ำอาเรจะไหลจากทะเลสาบเบรียนซ์ มาสู่ทะเลสาบทูน เนื่องจากผิวน้ำของทะเลสาบบรีเอินซ์นั้นอยู่สูงกว่าของทะเลสาบทูน สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) พื้นที่เปิดโล่งสีเขียวของเมือง เป็นสนามหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่อยู่หน้าโรงแรม The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa มีวิวอันสวยงามซึ่งสามารถมองเห็น 3 ยอดเขาได้ทั้งยอดเขาไอเกอร์ (Eiger), เมินช์ (Mönch) และยอดเขายุงเฟรา(Jungfraujoch)
อิสระให้ท่านเดินเล่นและไปถ่ายภาพกับ ย่านเมืองเก่า Old Town หรือเรียกว่า Unterseen ตั้งอยู่เลียบกับแม่น้ำอาเร่ บริเวณเชิงเขา Harder เมืองเก่าแห่งนี้ก่อตั้ง มาตั้งแต่ปี1471 อาคารหลายๆ แห่งยังคงถูกอนุรักษณ์เอาไว้อย่างดี พาท่านช้อปปิ้งที่ Kirchhofer มีทั้งร้านค้าและร้านอาหารมากมาย ให้ท่านได้อิสระช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
เย็น : รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่10)
เช้า : รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม (มื้อที่11)
จากนั้นนำท่านเที่ยวชม หมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) (ระยะทาง 15 ก.ม. / 30 นาที) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงชันและยังมี น้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach) ไหลลงมาจากหน้าผา ทำให้ทัศนียภาพของหมู่บ้านแห่งนี้สวยอลังการมากขึ้น แม้จะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านวิวสวยที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาต่อเนื่อง แต่เลาเทอร์บรุนเนินยังคงเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย แถมยังเป็นทางผ่านไปยังจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ในเทือกเขาแอลป์อีกด้วย อิสระให้ท่านเก็บภาพความประทับใจและเดินเล่นในหมู่บ้าน
จนถึงเวลาอันสมควรพาท่านเดินทางสู่ สถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletcher station) ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟจุงเฟราที่จะนำผู้โดยสารสู่ ยอดเขาจุงเฟรา (JUNGFRAUJOCH) จุดที่สูงที่สุดของยุโรป บนเทือกเขาแอลป์ ล้อมรอบด้วยภูเขาไอเกอร์ เมินช์ และจุงเฟรา นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นบริเวณแรกในเทือกเขาแอลป์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ตั๋วกระเช้าลอยฟ้าและรถไฟ (รวมในค่าทัวร์แล้ว) นำท่านเที่ยวชม ปราสาทน้ำแข็ง (Ice palace) สร้างขึ้นจากกองน้ำแข็งที่ก่อตัวอยู่ใต้ระเบียงชมวิวลงไป 20 เมตร เป็นจุดถ่ายรูปสวยๆที่นี่ซึ่งเกิดจากไกด์ภูเขา 2 คนได้เริ่มสลักน้ำแข็งเข้าไปเป็นโถงกว้างขนาด 1,000 ตารางเมตร โดยใช้เพียงสิ่วเจาะน้ำแข็งและเลื่อยในปี 1930 โดยทำทางเดินเหมือนโพรงถ้ำเข้าไป เพื่อชมรูปสลักน้ำแข็งต่างๆ อุณหภูมิภายในถ้ำจะคงที่อยู่ที่ -3 องศา อัลไพน์ เซนเซชัน(Alpine Sensation Adventure Tunnel)หนึ่งในสถานที่เที่ยวของจุงเฟรา อุโมงค์ความยาว 250 เมตร แสดงเรื่องราวของการรถไฟจุงเฟราและการพัฒนาของการท่องเที่ยวในเขตเทือกเขาแอลป์ มีจอภาพยนตร์ 360 องศาที่สฟิงซ์ฮอลล์ โดยภาพยนตร์จะนำพาผู้ชมเข้าสู่โลกอัลไพน์ที่ล้อมรอบจุงเฟรา สฟิงซ์ฮอลล์ (Sphinx Observatory) ขึ้นลิฟต์ที่เร็วที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ไปเพียง 25 วินาทีก็จะถึงห้องชมวิวที่จะมองเห็นธารน้ำแข็งได้ในทุกสภาพอากาศ ซึ่งในวันฟ้าใสจะสามารถเปิดออกไปยังลานชมวิวกลางแจ้งที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,571 เมตร พร้อมวิวธารน้ำแข็งอเล็ตช์ มองเลยไปถึงฝรั่งเศส เยอรมนีและอิตาลีได้อีกด้วย
เที่ยง : รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่12)
พาทุกท่านเดินทางสู่ เมือง Isaltwald (ระยะทาง 30 ก.ม. / 30 นาที) เป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีการใช้ชีวิตกันอยู่อย่างเป็นธรรมชาติมาก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความเป็นอยู่ในเมืองอย่างแท้จริง เพราะที่นี่มีร้านอาหารเพียงไม่กี่ร้าน ส่วนร้านมินิมาร์ทแทบจะหาไม่ได้เลย สิ่งที่ถือว่าเป็นรางวัลของที่นี่คือทิวทัศน์ความงามตามธรรมชาติที่มี ทะเลสาบ Brienz อยู่เบื้องหลัง ที่นี่ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คนนิยมมาเดินท่องเที่ยว และถ่ายกับสะพานชื่อดังที่เป็นที่ถ่ายทำซีรี่ย์ชื่อดัง Crash landing on you หรือสหายผู้กองนั้นเอง จนสะพานนี้ได้รับชื่อใหม่ว่า Crash landing on you bridge ในฉากที่พระเอกนั่งเล่นเปียโนซึ่งเป็นภาพจำของแฟนๆซี่รี่ย์เรื่องนี้ทุกท่าน นำท่านเดินทางสู่ เมืองลูเซิร์น (ระยะทาง 60 กม. / 1 ชม.) ในเมืองลูเซิร์นส่วนใหญ่รวมตัวกันในเขตเมืองเก่าและบริเวรณทะเลสาบ
เย็น : รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่13)
เช้า : รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม (มื้อที่14)
จากนั้นพาท่านเดินทาง เช็คอินที่เที่ยวเมืองลูเซิร์น เริ่มจากสัญลักษณ์ของเมืองคือ สะพานไม้ซาเปล (Chapel bridge) สะพานไม้อายุเกือบ 700 ปีนี้เป็นสะพานมีหลังคาคลุมที่ทอดข้ามแม่น้ำรอยส์จากสถานีรถไฟไปสู่ฝั่งเมืองเก่า มีจุดเด่นคือภาพเขียนบนคานไม้ อนุสาวรีย์สิงโตหิน (The Lion Monument) ที่แกะสลักอยู่บนหน้าผา บริเวณหัวของสิงโตจะมีโล่ซึ่งมีกากบาทสัญลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์อยู่โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ความกล้าหาญ ซื่อสัตย์และจงรักภักดีของทหารสวิสที่เสียชีวิตไปในการต่อสู้ป้องกันพระราชวัง ระหว่างการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส อิสระเดินเล่นที่ Schwanenplatz ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งหลักสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนลูเซิร์น มีร้านค้ามากมายที่นี่ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร มีโรงงานนาฬิกาโรเล็กซ์ในบริเวณนี้ด้วย ร้านค้ารอบๆขายงานฝีมือสวิสท้องถิ่น ร้านค้าบางร้านขายของที่ระลึก ช็อคโกแลต เครื่องประดับ ฯลฯ
เที่ยง : รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่15)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองซูริค (Zurich) (ระยะทาง 53 กม./ 1 ชม.) นำท่านเก็บภาพความประทับใจกับสถานที่ต่างๆ สะพาน Münsterbrücke หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Helmhausbrücke เป็นสะพานข้ามถนนและเดินเท้าที่เปิดขึ้นในปี 2381 ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำ Limmat ในใจกลางเมืองซูริค สะพานสามารถเดินข้ามไปมาได้ ระหว่างสองฝั่งของโบสถ์สำคัญของซูริคฟากนึงมี โบสถ์ Fraumünster ที่เลื่องชื่อเรื่องความงดงามของกระจกสี ซึ่งโบสถ์นับเป็นไฮไลท์ของเมืองชูริคเลยก็ว่าได้ เป็นโบสถ์นิกายโปรแตสแตนท์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เป็นหอคอยตึกคู่แฝด และสถาปัตยกรรมแบบโรมัน และอีกฝากเป็น โบสถ์ Grossmünster ออกแบบมาในรูปแบบประตูแกะสลักในศิลปะยุคกลาง อิฐหินถูกใช้ในการก่อสร้างตัวโบสถ์ ยังมีการตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกที่มีสีสันทันสมัยโดยจิตรกรชาวสวิส Augusto Giacometti โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ St. Peter’s Church ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค ไฮไลท์ที่สำคัญคือมีหอนาฬิกาขนาดใหญ่โดยหน้าปัดของหอนาฬิกามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8.7 เมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นหอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป
จากนั้น อิสระให้ท่านช้อปปิ้งตามอัธยาศัยที่ ถนนบานโฮฟซตราสเซอร์ Bahnhofstrasse ถนนนี้ความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร ที่รู้จักในระดับนานาชาติว่าเป็นถนนช้อปปิ้ง มีร้านค้าให้ได้เลือกซื้อของกันมากมาย ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนที่แพงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Armani, Prada, Chanel, Dior, Burberry, เป็นต้น
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติซูริค เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
21.35 น. : เดินทางกลับประเทศไทย โดย สายการบิน OMAN AIR (WY)
07.05 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต ประเทศโอมาน แวะพักเปลี่ยนเครื่อง
09.00 น. : เดินทางกลับ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทยโดย สายการบิน OMAN AIR (WY) เที่ยวบินที่ WY815
17.45 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
(บริษัท ดำเนินการให้ กรณียกเลิกทั้งหมด หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สามารถรีฟันด์เป็นเงินหรือการบริการอื่นๆได้)
หมายเหตุ : กรุณาอ่านศึกษารายละเอียดทั้งหมดก่อนทำการจอง เพื่อความถูกต้องและความเข้าใจตรงกันระหว่างท่านลูกค้าและบริษัท ฯ และเมื่อท่านตกลงชาระเงินมัดจาหรือค่าทัวร์ทั้งหมดกับทางบริษัทฯ แล้ว ทางบริษัทฯ จะถือว่าท่านได้ยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ทั้งหมด