22.00 น. : พร้อมกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 10 ROW T เคาน์เตอร์ สายการบินเอมิเรตส์Emirate Airline (EK) โดยมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการเช็คอินให้แก่ทุกท่าน
01.15 น. : ออกเดินทางสู่ เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเที่ยวบินที่ EK 385 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
04.45 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ (เพื่อรอเปลี่ยนเครื่อง)
08.40 น. : ออกเดินทางสู่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเที่ยวบินที่ EK 087
13.20 น. : ถึงสนามบินซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อย (เวลาท้องถิ่นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 6 ชั่วโมง และ 5 ชม.ในหน้าร้อน กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเพื่อสะดวกในการนัดหมาย)
จากนั้น เดินทางสู่ เมืองชไตน์ อัม ไรน์ (Stein am Rhein) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เมืองทางเหนือติดกับประเทศเยอรมันนี เมืองนี้มักไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว แต่นับได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่ไม่ควรพลาด ชมความงามของสถาปัตยกรรมของเมืองริมแม่น้ำไรน์ และการตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์ รวมไปถึงศิลปะชั้นสูงอย่างเฟสโก้ที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้ได้อย่างสวยงาม
พาท่านเดินทางสู่ ชาฟฟ์เฮาเซิน (Schaffhausen) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) พาท่านชม น้ำตกไรน์ (Rhine Falls) เป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดของยุโรป มีอายุเก่าแก่ประมาณ 14,000-17,000 ปี โดยมีความกว้างถึง 150 เมตร สูง 23 เมตร น้ำตกเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกราดตลอดทั้งปี โดยปริมาณกระแสน้ำไหลที่เคยวัดได้สูงสุดนั้นถึง 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ค่ำ : บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น (มื้อที่1)
เช้า : บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม (มื้อที่ 2)
จากนั้น เที่ยวชม กรุงเบิร์น (BERN) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสวยงาม จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ UNESCO ปี 1983 อีกด้วย พาท่านถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับความตระการตาของ อาสนวิหารแห่งกรุงเบิร์น (Bern Minster) ที่คงความงามมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1573
ต่อไปยัง บ่อหมี (Bärengraben) ริมแม่น้ำอาเร โดย คำว่า Bern ที่เป็นชื่อเมืองนั้นมาจากคำว่า “Baren” ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า “หมี” หรือ “Bear” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเกิดมาจากในสมัยก่อนนั้น ผู้ครองเมืองเบิร์นได้ไปออกล่าสัตว์ และสัตว์ที่ได้กลับมานั้นก็คือหมีนั่นเอง จนทำให้เบิร์นนั้นกลายเป็นชื่อของเมือง และมีสัญลักษณ์ของเมืองเป็นรูปหมีไปด้วย
พาท่านชมเดินสู่ ย่านมาร์กาสเซ (Marktgasse) ซึ่งปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านดอกไม้และร้านบูทีคเป็นเขตที่ปลอดมลพิษ ไม่ให้รถยนต์วิ่งผ่าน จึงเหมาะกับการเดินเที่ยว นำชมอาคารเก่า อายุ 200-300 ปี ชมถนนจุงเคอร์นกาสเซ ถนนที่มีระดับสูงสุดๆของเมืองนี้ เข้าสู่ถนนครัมกาสเซ เต็มไปด้วยร้าน ภาพวาดและร้านขายของเก่าในอาคารโบราณ ถ่ายรูปกับ นาฬิกาดาราสาสตร์(Zytglogge) อายุกว่า 800 ปี ที่มีโชว์ให้ดูทุกๆชั่วโมง นาฬิกาตีบอกเวลา ถัดไปไม่ไกลจะพบกับ บ้านเลขที่ 49 ซึ่งเป็นบ้านที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ชื่อดังของโลก เคยมาใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆ ระหว่างปีค.ศ. 1903-1905 ปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมภาพถ่ายและผลงานบางส่วนของไอน์สไตน์
เที่ยง ä บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น (มื้อที่ 3)
จากนั้น เดินทางไปยัง เมืองเจนีวา (Geneva) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) เมืองปลายตะวันตกเฉียงใต้สุดอันมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศส พาท่านชม นาฬิกาดอกไม้ต้นตำหรับของสวิส (L’horloge fleurie) ความพิเศษคือดอกไม้ที่นำมาประดับจะขึ้นอยู่กับแต่ละฤดูกาล ในบรรยากาศก็แตกต่างกันออกไป ผ่านชม Monument National อนุเสาวรีย์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมชาติระหว่างเจนีวาและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี 1814
ก่อนแวะถ่ายรูปด้านหน้า ที่ทำการองค์การสหประชาชาติแห่งเจนีวา (United Nations Office at Geneva) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนี้ ซึ่งเจนีวานั้นถือเป็นเมืองที่มีองค์กรระหว่างประเทศตั้งอยู่มากที่สุดในโลก และประเทศไทยนั้นก็ถือเป็น 1 ใน 193 รัฐสมาชิกสหประชาชาติ โดยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งทำให้มีธงไตรรงค์ ธงประจำชาติประดับอยู่บริเวณด้านหน้าร่วมกับธงประจำชาติของประเทศสมาชิกทั้งหมดอีกด้วย
และพลาดไม่ได้กับการชม น้ำพุแห่งเจนีวา (Jet d’Eau) น้ำพุสูง 140 เมตร ที่พวงพุ่งออกมาท้องทะเลสาบ ถึงแม้จะดูไม่ได้อลังการเหมือนน้ำพุอื่นๆ แต่น้ำพุแห่งนี้มีความสำคัญเนื่องจาก สร้างขึ้นมาเพื่อลดแรงดันน้ำหลังจากการกั้นเขื่อน โดยนับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรม
จากนั้น มุ่งหน้าสู่ เมืองโลซาน (Lausanne) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวา ชมบรรยากาศของเมืองพร้อมชมตัวเมืองเก่าที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 มีทิวทัศน์อันสวยงาม โอบล้อมไปด้วยภูเขาและทะเลสาบ มีบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติปราศจากมลพิษ จึงทำให้เป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ค่ำ : บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารไทย (มื้อที่ 4)
เช้า : บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม (มื้อที่ 5)
จากนั้น พาท่านถ่ายรูปด้านหน้า อาสนวิหารโลซาน (Lausanne Cathedral) หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งโลซานเป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ระดับอาสนวิหารประจำเมืองโลซาน อาสนวิหารแห่งนี้เริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1170 และแล้วเสร็จในปี 1235 ต่อมาอาสนวิหารแห่งนี้ถูกประกาศอุทิศให้แก่พระแม่มารีย์โดยคำประกาศของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10 ในปี 1275 และเนื่องจากอาสนวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง ทำให้ท่านจะสามารถเก็บบรรยากาศวิวมุมสูงของเมืองโลซานได้ยังเต็มที่
จากนั้น เดินทางต่อไปยัง เมืองมองเทรอซ์ (Montreux) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) โดยระหว่างนั้นจะเลียบทะเลสาบเจนีวาตลอดทาง นำท่านชมเมืองเก่าแวะถ่ายรูปด้านหน้า ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon) ปราสาทอายุกว่า 1,000 ปี ที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งขอยุโรปก็ว่าได้ และเป็นอีก 1 จุดที่ท่านต้องไม่พลาดชม ตัวปราสาทถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดควบคุมและเก็บค่าผ่านทางของผู้เดินทาง รวมไปถึงขบวนสินค้าต่างๆที่สัญจรไปมา
มุ่งหน้าสู่ เมืองเซอร์แมท (Zermatt) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองตากอากาศสุดหรูที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนยานพาหนะ จึงทำให้มีความบริสุทธิ์ของอากาศเป็นอย่างมาก และเป็นที่ที่ผู้คนทั่วโลกใฝ่ฝันว่าจะได้มาพักที่เมืองแห่งนี้ โดยพาท่านเปลี่ยนเป็นขึ้นรถไฟที่เมือง ทาซ (Tasch)
เที่ยง : บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน (มื้อที่ 6)
พิเศษสุด !!! พาท่านนั่งรถไฟกอร์เนอร์การ์ท (Gornergrat) รถไฟสุดคลาสสิคที่จะพาท่านขึ้นไปยังยอดเขาอันเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ ภูเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ภูเขายอดแหลมรูปร่างแปลกตาที่สูงถึง 4,478 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศ และแมทเทอร์ฮอร์นยังได้ปรากฏในสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย
ภูเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ภูเขายอดแหลมรูปร่างแปลกตาที่สูงถึง 4,478 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เขาแห่งนี้ยังได้ปรากฏในสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย อาทิ ขนมช็อกโกแลตสัญชาติสวิสอย่าง Toblerone หรือแม้ประทั่งบริษัทบริษัทสร้างหนังฮอลลีวูดอย่าง Paramount Pictures จึงนับเป็นจุดที่วิวที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เดินทางกลับสู่เมืองเซอแมท Zermatt เมืองเล็กๆที่อัดแน่นไปด้วยความวิเศษเหนือคณานับ ไม่ว่าจะเป็นถนนย่านใจกลางเมืองอย่าง Bahnhofstrasse ที่รวมร้านค้าต่างๆมากมาย ในอาคารสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร Matterhorn Museum อาคารจัดแสดงใต้ดินที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในเมือง และโบสถ์ Pfarrkirche St. Mauritius จุดศูนย์รวมใจของชาวเมือง อิสระให้ท่านได้เดินชมเมือง
เช้า : บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม (มื้อที่ 8)
จากนั้น นำท่านสัมผัสประสบการณ์นั่งรถไฟสายกลาเซียเอ็กซ์เพรส (Glacier Express) “รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก” วิ่งผ่านภูมิประเทศที่งดงามของเทือกเขาแอลป์ ผ่านชมอุโมงค์ สะพาน หุบเหว และหุบเขาที่สูงกว่า 2,000 เมตร ตลอดเส้นทางท่านสามารถชมยอดเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง ที่พาดผ่านในกลางเทือกเขาแอลป์
เดินทางถึง เมืองอันเดอร์แมท (Andermatt) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองเล็กๆและน่ารักที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและเป็นชุมทางสายรถไฟกลาเซียเอ็กเพรส (Glacier Express) รถไฟสายโรแมนติคที่มีชื่อเสียงที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
เที่ยง : บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น (มื้อที่ 9)
จากนั้น มุ่งหน้าสู่ ทะเลสาบเบลาเซ (blausee) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) หนึ่งทะเลสาบที่มีความสวยงามยิ่งนัก อยู่ท่ามกลางเทือกเขา ต้นไม้ และธรรมชาติอันสมบูรณ์ มีต้นกำเนิดจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล และยังทะเลสาบที่ถูกจัดเป็นมรดกของโลก โดย Unesco อีกด้วย ให้ท่านได้แวะถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากชมความงามจนเต็มอิ่มแล้ว เดินทางต่อไปยัง เมืองอินเทอลาเก้น (Interlaken) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) จุดศูนย์กลางของประเทศ ที่รายล้อมไปด้วย 4 ขุนเขา และ 2 ทะเลสาบ พาท่านเดินชม ความงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมือง
พาท่านเดินชม ถนน Hoheweg จุดที่ครึกครื่นที่สุดในเมืองอินเทอลาเก้น ท่านสามารถเลือกซื้อสินค้าคุณภาพสวิสได้อยากหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Omega, Swatch ช็อคโกแลตสวิสที่ขึ้นชื่อ หรือแม้แต่เสื้อผ้า เครื่องประดับก็ยังมีให้ท่านเลือกสรรได้ตลอดถนนเลยทีเดียว
เช้า : บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม (มื้อที่ 11)
นำท่านสู่เมืองกรินเดอวาลด์ (Grindelwald) เมืองอันเป็นจุดเริ่มต้นในการพิชิตยอดเขาจุงฟราว Top Of Europe ด้วยทัศนียภาพที่เป็นหุบเขาที่มีบ้านสไตล์สวิสชาเลย์ตั้งอยู่โดยรอบ ทำให้มีความสวยงามจนเป็นเหมือนหน้าตาของสวิสเซอร์แลนด์ที่คุ้นเคย
ใหม่ล่าสุด!!! พาท่านสู่สถานีกรินเดอวาลด์ เพื่อพาท่านขึ้น กระเช้า Eiger Express ที่เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา โดยจะทำให้ท่านประหยัดเวลาในการพิชิตเขาจุงฟราวเร็วขึ้นถึง 47 นาที เพื่อให้ท่านได้มีเวลาเพลิดเพลินบน Top Of Europe
เมื่อถึงแล้ว พาท่านชม อุโมงค์น้ำแข็ง (Ice Palace) ที่มีอายุเก่าแก่ 1,000 ปี ธารน้ำแข็งลึกเขาไปกว่า 30 เมตร มีประติมากรรมน้ำแข็งอยู่อย่างมากมาย และคงอุณหภูมิอยู่ที่ -3 องศา ตลอดทั้งปี เก็บภาพความสวยงามและยิ่งใหญ่ของของธารน้ำแข็ง Aletsch ที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ และชม อุโมงค์โลกอัลไพน์ (Alpine Sensaton) ที่จัดแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรมและธรรมชาติของชาวเมือง และพาท่านขึ้นสู่ Jungfrau Panorama view จุดสูงสุดของสถานี ที่ 3,571 เมตร ให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
เที่ยง ä บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร บนยอดเขาจุงฟราว ให้ท่านเต็มอิ่มกับบรรยากาศของทิวทัศน์สุดอลังการ (มื้อที่ 12)
พาท่านลงสู่อีก 1 เมืองชานเขาจุงฟราว เมืองเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) เมืองสวยอีกเมืองที่ต้องแวะชม ด้วยรถไฟไต่เขาแสนคลาสสิก ที่นี่เป็นที่ตั้งของ น้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach) ที่สูงกว่า 300 เมตร มุมสุดอลังการกับริ้วน้ำตกที่แทรกผ่านหน้าผาสูง โดยมีเบื้องล่างเป็นบ้านเรือนสลับทุ่งหญ้า ที่มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
จากนั้น นำคณะเดินทางกลับเข้าสู่ เมืองลูเซิร์น (Luzern) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) หนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดของประเทศ พาท่านถ่ายรูปกับ อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงทหารหาญชาวสวิสผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย อนุสาวรีย์นี้คือสัญลักษณ์สำคัญของลูเซิร์นที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนพลาดมาที่นี่
พาท่านชม สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) อันเป็นสัญลักษณ์ของเมือง และได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทอดยาวระหว่างแม่น้ำ Reuss โดยสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 จากนั้น ให้ท่านได้ชมความงามของสถาปัตยกรรมรอบๆตัวเมืองใน เขตเมืองเก่า (Oldtown) ด้วยตัวอาคารสไตล์ยุโรปผนวกกับร้านสมัยใหม่ ทำให้เป็นหนึ่งในความวิเศษของเขตนี้
ค่ำ ä อิสระอาหารค่ำตามอัธยาศัยเพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาของท่าน
เช้า : บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม (มื้อที่ 13) ให้ท่านอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย สมควรกับเวลา นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติซูริค (Flughafen Zürich) เพื่อให้ท่านได้มีเวลาทำการคืนภาษี (Vat Refund)
15.25 น. : ออกเดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 088
23.45 น. : เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ (เพื่อทำการเปลี่ยนเครื่อง)
03.45 น. : ออกเดินทางสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบินที่ EK 376 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
12.55 น. : เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจมิรู้ลืม
เงื่อนไขประกันการเดินทาง ค่าประกันอุบัติเหตุและค่ารักษาพยาบาล คุ้มครองเฉพาะกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ไม่คุ้มครองถึงการสูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวและไม่คุ้มครองโรคประจำตัวและปัญหาสุขภาพอื่นๆของผู้เดินทาง
เงื่อนไขการสำรองที่นั่งและการยกเลิกทัวร์
การจองทัวร์ :
กรณียกเลิก : (จอยกรุ๊ป)
กรณียกเลิก : (ตัดกรุ๊ป)
กรณีเจ็บป่วย :
กรณีวีซ่าที่ท่านยื่นไม่ผ่านการพิจารณาและคณะสามารถออกเดินทางได้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้